เชื่อว่าหลายคนเมื่ออายุมากขึ้น ก็เริ่มมีปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ขาดความตึงกระชับ เนื่องจากผิวของคนเราจะเริ่มผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงเมื่ออายุเริ่มมาก แต่ในปัจจุบัน สามารถเติมคอลลาเจนให้ผิวได้ ด้วย Juvelook หรือ Sculptra ซึ่งเป็นหัตถการงานผิวที่เน้นในเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนโดยตรง มาดูกันดีกว่าเจ้าสองตัวนี้คืออะไร และสามารถตอบโจทย์ใครได้บ้าง?
ทำความรู้จัก Juvelook vs Sculptra
สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าหัตถการ 2 แบบนี้คืออะไร มีจุดเด่น และแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ตามมาไขข้อสงสัยไปพร้อมกันเลย
Juvelook คือ อะไร?
Juvelook ( จูวีลุค ) เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบ Hybrid Biostimulator โดยมีส่วนผสมระหว่าง PDLLA ( Poly D,L-Lactic Acid ) และ HA ในตัวเดียวกัน ซึ่ง PDLLA จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าใส ฉ่ำวาว ดูอ่อนเยาว์ ส่วนอนุภาคของ HA จะช่วยในเรื่องของริ้วรอยและรูขุมขน เบลอรูขุมขน ฟื้นฟูหลุมสิว เติมเต็มริ้วรอยให้ดูตื้นขึ้น และยังทำให้ผิวหน้าฉ่ำวาวยาวนาน 12 – 18 เดือน
Sculptra คือ อะไร?
Sculptra ( สเกาตร้า ) เป็นอนุภาคของสาร PLLA ( Poly-L-Lactic acid ) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติตัวแรกของโลก มีคุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อผลิตคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาทดแทนคอลลาเจนที่เสียไปเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูกระชับ อิ่มฟู มีความยืดหยุ่น ทำให้ผิวแข็งแรง และคืนความอ่อนเยาว์
จุดเด่นของ Juvelook vs Sculptra คืออะไร?
เมื่อได้ทราบว่าสารที่ใช้ทำหัตถการทั้งสองแบบนี้คืออะไรไปแล้ว ต่อมาเราจะพามาดูจุดเด่นของทั้งสองแบบว่า หลักๆ แล้วมีส่วนช่วยในเรื่องใดบ้าง
จุดเด่น Juvelook

จุดเด่น ไหมน้ำ Juvelook คืออะไร?
- เห็นความเปลี่ยนแปลงในทันที โดยไม่จำเป็นต้องนวดคลึง
- มีทั้ง PDLLA ( Poly D,L-Lactic Acid ) และ ผสมอยู่ในตัวเดียวกัน
- PDLLA จะทำให้ไฮโดรเจลใน HA เหนียวแน่นขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ยึดเกาะผิวได้ดี ไม่ไหลง่าย
- สามารถฉีดบริเวณใต้ตา ช่วงหน้าแก้ม หรือฉีดทั่วใบหน้า เพื่อผลลัพธ์ผิวใส ดูฉ่ำเงา
- มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยเติมเต็มผิวให้ดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
- ช่วยลดเลือนรอยแตกลาย และรอยแผลเป็นได้
- สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 18 เดือน เมื่อฉีดติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง 3 ขวด
จุดเด่น Sculptra

จุดเด่น Sculptra คืออะไร?
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว คืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
- มอบความยืดหยุ่น เต่งตึงให้แก่ผิว
- ช่วยยกกระชับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเด็กลง
- ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน
- มอบความกระจ่างใส
- คืนความสมดุลให้ผิว แก้ปัญหาผิวกร้าน ให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูอิ่มน้ำ
- สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี
ความแตกต่างระหว่าง Juvelook กับ Sculptra
Juvelook เป็น ไหมน้ำเกาหลี ที่มีส่วนผสมทั้ง PDLLA ( Poly D,L-Lactic Acid ) และ HA ในตัวเดียวกัน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และแก้ไขปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหลุมสิว กระชับรูขุมขน เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส ช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดรอยแผลเป็น และยังลดรอยแตกลาย บนผิวหนังได้อีกด้วย ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทันทีหลังจากที่ฉีด
Sculptra ไม่ใช่ไหมน้ำ แต่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติชนิด PLLA ซึ่งช่วยให้ผิวยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ได้ดี ทั้งยังช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ดูเรียบเนียน และมีความยืดหยุ่น ให้ใบหน้าดูอิ่มฟูเด้งใสอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และคงอยู่ได้นานถึง 2 ปี
Juvelook และ Sculptra เหมาะกับใคร?
หากใครมีแพลนจะทำหัตถการบนใบหน้า ด้วย Juvelook vs Sculptra ก่อนจะเลือกว่าทำตัวไหนดี เราขอพามาดูเรื่องความเหมาะสมกันก่อน ว่าตัวไหนตอบโจทย์กับใคร และปัญหาผิวแบบไหนที่ควรทำบ้าง
Juvelook เหมาะกับใคร?

Juvelook เหมาะกับใครบ้าง
- ไหมน้ำ Juvelook เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย เช่น ริ้วรอยตีนกา ร่องน้ำตา และเส้นรอบๆ คอ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหยาบกร้าน ดูหมองคล้ำ และแต่งหน้าไม่ติด
Sculptra เหมาะกับใคร?

Sculptra เหมาะกับใครบ้าง?
- สกัปต้า เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ ดูหย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวจากโครงสร้าง
- ผู้ที่ขาดการดูแลผิวมาเป็นเวลานาน
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว เติมเต็มผิวให้ดูแน่นอิ่มฟูขึ้น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนาน และไม่มีเวลาไปฉีดบ่อยๆ ซึ่งการทำหัตถการ Sculptra สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี
Juvelook และ Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
Juvelook แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง โดยฉีดติดต่อกันประมาณ 3 ครั้งก็จะเริ่มเห็นผล แต่ควรมีการเว้นระยะห่างกันสักหน่อย ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง และหลังจากนั้นควรฉีดซ้ำทุก 6 – 12 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ไว้
ในส่วนของ Sculptra จะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้เวลาประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ซึ่งในช่วง 2 – 3 วันแรกที่ฉีดอาจมีอาการบวมจากตัวยา แต่จะค่อยๆ หายไปเอง และส่วนมากการฉีดเข็มแรก จะให้ผลลัพธ์ไม่ถึง 100% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคนด้วย โดยจะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี เพราะการทำสกัปต้า จะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งบางคนอาจคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 3 ปีเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย
Juvelook กับ Sculptra ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่?
สำหรับ Juvelook ราคาจะอยู่ที่ 15,000 – 25,000 บาทต่อ 1 ขวด และควรระวังหากเจอราคาที่ถูกกว่านี้ เพราะอาจจะเป็นของปลอม เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
Sculptra ราคา ที่ขวดละ 29,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานในประเทศไทย
สรุป Juvelook vs Sculptra ฉีดแบบไหนดีกว่ากัน?
หากถามว่าการทำหัตถการผิวหน้าระหว่าง Juvelook vs Sculptra เลือกทำตัวไหนดีกว่ากัน บอกได้เลยว่าทั้งสองแบบนั้นช่วยในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน ดังนั้นก็คงต้องเลือกจากปัญหาผิวหน้าของแต่ละคน ว่ามีความเหมาะสมกับหัตถการแบบไหนมากกว่ากัน
ซึ่งสามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญได้ที่ Charmer Clinic เพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด พร้อมผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ ที่สำคัญได้ตัวยาของแท้มี อย. รับรอง จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน
คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ที่นี่!
🔷โปรแกรม Biostimulator (ไหมน้ำ) ปี 2024 มีอะไรบ้าง คลิกอ่านบทความ! โปรแกรมไหมน้ำ
🔷โปรแกรม ไหมน้ำ VS ฟิลเลอร์ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา คลิกอ่านบทความ! ไหมน้ำ เหมาะกับใคร
🔷โปรแกรม Aesthefill กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ คลิกอ่านบทความ! Aesthefill
ติตตามสาระความงามทุกช่องทางมีเดียจาก Charmer Clinic ที่นี่!
กดติดตามเพจ FB คลิกเลย! FB Charmer Clinic
กดติดตาม Tiktok คลิกเลย! Tiktok Charmer Clinic
กดติตตามช่อง Youtube คลิกเลย! Youtube Charmer Clinic
กดติดตาม IG คลิกเลย! IG Charmer Clinic
กดติดตาม Twitter คลิกเลย! Twitter Charmer Clinic
กดอ่านบทความสาระความงามอัพเดทใหม่ๆ คลิกเลย! บทความ Charmer Clinic