ไม่มีความเห็น

บำบัดด้วยแสง LED Therapy ช่วยเรื่องอะไร ? สีไหนเหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน ?

LED Therapy หรือการบำบัดผิวด้วยแสง LED กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงาม เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพายาหรือการผ่าตัด แสง LED แต่ละสีจะมีความยาวคลื่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ผิวแตกต่างกันไป ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด 

หลักการทำงานของ LED Therapy 

แสง LED แต่ละสีจะมีความยาวคลื่นและพลังงานที่แตกต่างกัน เมื่อแสงเหล่านี้สัมผัสกับผิวหนัง จะส่งผลต่อเซลล์ผิวในระดับต่างๆ เลยทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวทำให้ช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน โดยแสงที่ใช้รักษาในแต่ละสีจะมีคุณสมบัติที่ต่างกัน เพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน 

LED Therapy มีกี่สีและแต่ละสีต่างกันอย่างไร? 

การบำบัดผิวด้วยแสง LED นั้นใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจง ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 สี ประกอบด้วย สีฟ้า สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีม่วง และสีส้ม  แต่ละสีจะมีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปในการรักษาปัญหาผิว ดังนี้ 

แสงสีฟ้า (Blue Light) 

เป็นแสงที่ช่วยในเรื่องของการรักษาสิวและช่วยลดการอักเสบ ทั้งสิวอักเสบ สิวที่เกิดจากการแพ้สารสเตียรอยด์ และยังช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า P.Acne (Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทำให้ลดโอกาสในการเกิดสิวใหม่ รวมไปถึงช่วยเรื่องของการลดความมันบนใบหน้าซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน  
  • เหมาะกับใคร : คนที่่มีสิวอักเสบเป็นจำนวนมาก คนที่สิวหายยากจากการดื้อยา 

แสงสีแดง (Red Light)

เป็นแสงที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นเซลล์ ลดการอักเสบ ลดบวม กระชับรูขุมขน ปรับผิวให้เรียบเนียน จะต้องทำควบคู่กับแสงสีฟ้า เนื่องจากบางเคสอาจจะต้องมีการกดสิว โดยแสงสีแดงจะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่มีการกดสิวแข็งแรงขึ้น และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น  
  • เหมาะกับใคร : คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง และดูอ่อนเยาว์ ลดปัญหาการเกิดสิวใหม่  รวมถึงคนที่พึ่งทำศัลยกรรม ผ่าตัด 

แสงสีเขียว (Green Light) 

เป็นแสงที่ช่วยรักษารอยดำ ลดการสร้างเม็ดสี ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เช่นเดียวกับแสงสีเหลืองแต่จะนิยมลดรอยดำมากกว่า นอกจากนี้แสงสีเขียวยังช่วยรักษาอาการแพ้ต่างๆได้อีกด้วย 
  • เหมาะกับใคร : คนที่มีปัญหารอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็น รวมถึงคนที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ 

แสงสีเหลือง (Yellow Light) 

เป็นแสงที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ ลดการสร้างเม็ดสี ช่วยรักษาเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง ปรับผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น และยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น 
  • เหมาะกับใคร : คนที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำและผิวหมองคล้ำ  

แสงสีม่วง (Purple Light)  

เป็นแสงที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้ผิวกลับมาแข็งแรง 
  • เหมาะกับใคร : คนที่ผิวบอบบางและต้องการปรับสภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น  

แสงสีส้ม (Orange Light) 

เป็นแสงที่ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ดูกระจ่างใสมากขึ้น และช่วยลดความหมองคล้ำได้อีกด้วย
  • เหมาะกับใคร : คนที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำไม่กระจ่างใส 

ทำไมแต่ละสีถึงมีความแตกต่างกันเพราะอะไร? 

ความยาวคลื่นของแสงแต่ละสีจะส่งผลต่อการดูดซับพลังงานของเซลล์ผิวแตกต่างกันไป เมื่อเซลล์ผิวดูดซับพลังงานแสง จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น การลดการอักเสบ หรือการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  

ฉายแสง LED แตกต่างจากการทำ เลเซอร์  ไหม? 

LED Therapy เป็นการปล่อยคลื่นแสงแอลอีดีที่ใช้คลื่นความยาวอยู่ในช่วง 400-700 nm ไม่เป็นอันตรายต่อผิว มีความปลอดภัย ส่วน Laser เป็นแสงที่มีพลังงานสูง ความยาวคลื่นเดียวที่เฉพาะเจาะจงและแม่นยำ เครื่องแต่ละชนิดที่นำมาใช้ก็แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัญหาผิวต่างๆของแต่ละบุคคล หลังทำอาจมีรอยแดง ระคายเคือง หรือผิวไวต่อแสงเกิดขึ้นในบริเวณที่ทำแต่จะหายไปเองขึ้นอยู่กับระดับพลังงาน ดังนั้นการรักษาด้วย LED Therapy จะเป็นการปล่อยคลื่นแสงพลังงานต่ำ ซึ่งมีความปลอดภัย จึงไม่ปวดแสบร้อน หรือผลข้างเคียงน้อยกว่า  

LED Therapy ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล? 

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และควรทำต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป โดยส่วยใหญ่แพทย์จะแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3 ครั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่สภาพปัญหาหิวของแต่ละบุคคล ดังนั้นก่อนการรักษาควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อประเมินใบหน้าก่อนเริ่มทำการรักษา  

หลังทำการรักษาควรปฎิบัติตัวอย่างไร? 

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือกิจกรรกล้างแจ้งที่ร้อนจัดๆ 
  • ทาครีมกันแดดอยู่เป็นประจำ 
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวหน้า 
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
  • งดใช้ครีมมีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี หรือครีมกลุ่ม AHA 

LED Therapy เป็นการบำบัดผิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยการใช้แสงสีต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน การเลือกสีของแสง LED ที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้น การเลือกสีของแสง LED จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข โดยแพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและแนะนำสีของแสงที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล” 

คลิกอ่านเกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ที่
  • Pico Laser VS Diode Laser เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?  https://bit.ly/3XMr61R
  • โปรแกรม ฉีดเมโส(Meso) หน้าใส ฉ่ำวาว ผิว Glass Skinแบบเกาหลี มีอะไรบ้าง? https://bit.ly/4b9UAtV
  • PICO SECOND LASER พิโค่ เลเซอร์ บอกลารอยดำจากสิว ฝ้า กระ นวัตกรรมล่าสุด https://bit.ly/3yKvCE7
  • กำจัดขนด้วยไดโอดเลเซอร์ (DIODE LASER) บอกลาขนหนา กำจัดขนได้ทั้งตัว ไม่เจ็บ https://bit.ly/3Mip0Ae
  • https://bit.ly/47tgLLiIPL Laser คืออะไร ดีจริงไหม?
  • โปรแกรม ไหมน้ำ VS ฟิลเลอร์ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา https://bit.ly/4elYsKW
ฝากกดติดตามสาระดีๆเกี่ยวกับความงาม
กดติดตามเพจ FB https://www.facebook.com/charmerclinic2you/
กดติดตาม Tiktok https://www.tiktok.com/@charmerclinic
กดติตตามช่อง Youtube https://bit.ly/2PZiVeR
กดติดตาม IG https://bit.ly/2PYXTwY
กดติดตาม Twitter https://twitter.com/CharmerClinic
กดอ่านบทความดีๆอัพเดท https://charmerclinic2you.com/
Click to rate this post!
[Total: 0 Average: 0]
บทความที่เกี่ยวข้อง

แท็ค

Aestox ดีไหม botox botoxลดกราม filler filler ใต้ตา hifu juvederm filler made collagen mesofat meso หน้าใส Restylane การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบท๊อกซ์ ข้อดีร้อยไหม ฉีดfiller ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) กินเหล้าได้ไหม ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) กี่เข็มเห็นผล ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) จุดไหนได้บ้าง ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) เจ็บไหม ฉีดแฟตบอม ทรงจมูก ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ใต้ตา มาเด้คอลลาเจน รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิวร้อยไหม รีวิวโบท๊อกซ์ ร้อยไหม ร้อยไหมpdo ร้อยไหมก้างปลา ร้อยไหมยกกระชับหน้า ร้อยไหมเงี่ยง วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ ศัลยกรรม ศัลยกรรมเสริมจมูก หลังร้อยไหม เมโส เมโสแฟต เสริมจมูก โบท๊อก โบท๊อกซ์คืออะไร ไฮฟู
Share this

“ความสวยของคุณ คือเป้าหมายของเรา”

จองคิวที่ call center 085-9192768

สาขา เพชรเกษม 69 โทร: 095-058-3666
สาขา อุดมสุข โทร: 095-521-0666
สาขา รังสิต (คลอง3) โทร: 094-696-5322
สาขา รัชดา โทร: 094-559-8748
สาขา อโศก โทร: 093-241-4969
สาขา พรอมานาด โทร: 098 – 154 – 4454
สาขา ราชพฤกษณ์ (สัมมากร เพลส) โทร: 096-016-1666
สาขา ปิ่นเกล้า Major Cineplex Pinkao โทร : 083-978-0666

ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นที่ข้อสงสัยได้ที่ด้านล่างนี้

บทความที่น่าสนใจ

No results found

เมนู