ร้อยไหม 6 ชนิดที่นิยมร้อยยกกระชับหน้าในไทย 2021
การร้อยไหมในปัจจุบันยังนิยมมาต่อเนื่องสำหรับวงการเสริมความงาม เพราการร้อยไหมนั้นมีค่าใช้จ่ายราคาแพงมาก และสามารถยกกระชับหน้าได้ดีโดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม และเป็นทางเลือกสำหรับคนไม่อยากผ่าตัด
ปัจจุบันเราจึงเห็นประเภทหรือชนิดของไหมออกมาเยอะมาก ซึ่งก็เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยถึงชนิดของไหมแต่ละประเภทซึ่งจะนำมาพูดในส่วนที่นิยมใช้ และเป็นไหมละลายส่วนใครอยากทราบร้อยไหมมีกี่แบบคลิก https://bit.ly/2GAJQss
วันนี้เราจะดูเรื่องความแตกต่างหรือข้อดี ข้อเสีย เหมาะกับใครบ้าง
1. ไหม PDO (Mono threads) เป็นไหมละลายเส้นเรียบเป็นการร้อยไหมในยุคแรก เรียกว่าตัวเริ่มต้นเลย ไหมตัวนี้จะไม่มีเกลียว เส้นจะบางใส่ไว้ในเข็มเล็กๆ การร้อยก็จะร้อยในชั้นตื้นเพื่อหวังผลในการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นไหมตัวนี้จึงเหมาะสำหรับการกระชับผิวมากกว่า หากต้องการยกหน้านั้นต้องใช้เยอะมาก ที่เราเคยได้ยินสมัยก่อนว่าต้องร้อยไหม 200-500 เส้นนั่นเอง ก็คือไหมตัวนี้เลย
เหมาะกับใคร ?
-
สำหรับคนที่ไม่ได้มีการหย่อนคล้อยแต่ผิวไม่กระชับ ไม่เฟริมจับดูแล้วผิวจะไม่ค่อยเด้ง
-
ไว้สำหรับไว้เสริมไหมตัวอื่น เพื่อเก็บจุดเล็กๆหรือบริเวณผิวบางๆที่ไหมเส้นใหญ่ไม่สามารถร้อยได้ เช่นกระชับเหนียง ,ร่องแก้ม
ข้อดี
-
ไม่เจ็บ ทายาชาก็พอไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา
-
ราคาไม่แพง
ข้อเสีย
-
ใช้จำนวนเส้นไหมเยอะในการร้อยแต่ละครั้ง
-
บวมช้ำเยอะ เนื่องจากการร้อยไหมจำนวนมาก แม้จะเส้นเล็กแต่ใส่ไปเยอะมากก็ยิ่งบวมอาจจะกินเวลานาน 1-2 สัปดาห์
2. ไหมเกลียว (Screw threads) มีลักษณะคล้ายไหม พีดีโอเส้นเรียบแต่เหมือนมี 2 เส้นรวมกันทำให้เป็นคล้ายเกลียว
เหมาะกับใครบ้าง
-
เหมาะสำหรับกระชับผิว ผิวไม่หย่อนคล้อยมาก
-
สามารถไว้เสริมไหมตัวอื่นได้
ข้อดี
-
ไม่เจ็บ ทายาชาก็เพียง ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา
-
ใช้จำนวนไหมน้อยกว่าไหม พีดีโอ (PDO)เส้นเรียบ
ข้อเสีย
-
ยังมีปัญหาเรื่องของการบวมช้ำเยอะ
-
ไม่ค่อยเห็นผลสำหรับเรื่องการดึงยกผิว

3.ไหมมีเงี่ยง (Cog threads) บางคนอาจจะเรียกไหมก้างปลา เป็นไหมกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน การร้อยความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยยกผิวที่หย่อนยานขึ้นได้
เหมาะกับใครบ้าง
-
เหมาะสำหรับคนมีปัญหาผิวหย่อนยาน
-
เหมาะสำหรับคนอยากปรับรูปหน้า วีเชฟ หรือยกเหนียงห้อย
-
เหมาะสำหรับอายุ 27 ขึ้นไป
ข้อดี
-
ใช้จำนวนไหมน้อย 4-16 เส้นแล้วแต่ปัญหาและขนาดไหมของแต่ละบริษัท
-
ยกกระชับผิวได้ดีในระดับนึง
-
ราคาไม่แพง จับต้องได้
-
ไม่ต้องพักฟื้น ทำงานได้ปกติ
ข้อเสีย
-
หากคนมีปัญหาเยอะ หรืออายุมากแล้วผลลัพย์อาจจะไม่ชัดเจน
-
หากโดนเส้นเลือดใหญ่ในบางจุดจะบวมนานได้ในบางเคส
4.ไหม PCL (MOLDING )เป็นไหมที่มีเงี่ยงและลายสลัก พัฒนามาจากไหมเงี่ยงก้างปลาอีกที จากรูปจะเห็นว่าเงี่ยงบากมากขึ้น เพื่อให้ไหมนั้นเกาะกับผิวได้ดียิ่งขึ้น เป็นไหมที่เส้นใหญ่กว่าไหมเงี่ยงทั่วไป (อ่านบทความไหมปากฉลาม )
เหมาะกับใคร
-
เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหย่อนคล้อยเยอะ ส่วนมากจะ อายุ 35 ขึ้นไป
-
ไม่อยากร้อยไหมจำนวนเส้นเยอะ ใช้ประมาณ 4-10 เส้น
ข้อดี
-
ใช้จำนวนเส้นไหมน้อยกว่าไหมเงี่ยง
-
บวมน้อยกว่า แม้เส้นใหญ่กว่าแต่เข็มที่ใช้เป็นแบบปลายทู่ทำให้ไม่เจ็บและบวมน้อย โอกาสการโดนเส้นเลือดใหญ่จากเข็มปลายแหลมลดลง
-
การยืดหยุ่นเส้นไหมดีไม่หักง่าย
ข้อเสีย
-
ราคาสูงกว่าก้างปลาทั่วไป
-
เทคนิคการร้อยไหมที่อาจจะยากกว่าหรือการแทงไหมใต้ผิวยากกว่าไหมทั่วไป
5.ไหมPLLA ( Poly – L- Lactic acid , PLLA)มีลักษณะเป็นเส้นสีขาวใส ไม่ค่อยยืดหยุ่น ทำให้ไม่ค่อยนิมยมมากนัก เพราะมีปัญหาขาดง่าย หักง่าย
เหมาะกับใคร
-
คนที่มีปัญหาหย่อนคล้อย
-
อยากปรับรูปหน้าวีเชฟ
ข้อดี
-
แรงยกของไหมดีเส้นใหญ่
ข้อเสีย
-
มีโอกาสเรื่องการขาดระหว่างร้อยง่ายเปราะ
6.ไหม PGA (Polyglycolic Acid) หรือบางคนอาจจะเรียกว่า“ไหมกรวย” (Silhouette soft) ต้องร้อยผิวหนังชั้นลึก โดยใช้ตัวโคนเป็นตัวพยุงผิวและชั้นไขมันแทน จึงทำให้ผิวหน้ากระชับได้รูปเห็นผลได้ชัดเจน
เหมาะกับใคร
-
คนอายุ 45 ขึ้นไปที่มีความหย่อนคล้อยเยอะมากตั้งแต่ชั้นกล้ามเนื้อ
-
ยังไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า
ข้อดี
-
ใช้จำนวนไหมน้อยกว่าไหมทั่วไป ประมาณ 2-8 เส้น
ข้อเสีย
-
ราคาสูง ปกติ 10,000-30,000/เส้น
-
ระบมและบวมช้ำมากหลังทำมีเลือดออกเยอะ