ผิวหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียน เพราะมี หลุมสิว ถือเป็นปัญหากวนใจสำหรับหลายคน เพราะนอกจากจะดูไม่น่ามองแล้ว หลุมสิวยังทำให้การแต่งหน้าดูไม่เนียน หรือทารองพื้น ทาแป้งแล้วตกร่องนั่นเอง หลายคนอาจสงสัยว่า หลุมสิว เกิดจากอะไร เป็นได้ยังไง มีกี่ประเภท และจะ รักษาหลุมสิว ยังไงให้หาย มาดูกันเลย!

รักษาหลุมสิว
หลุมสิว เกิดจากอะไร ?
หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นจากสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง เวลาที่สิวพวกนี้ขึ้นบนหน้านานๆ และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้ใต้ชั้นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นหนองและเกิดโพรงขึ้นมา คือเกิดการยุบตัวของผิว ผิวจึงต้องสร้างกระบวนการรักษาตัวเองด้วยการสร้างพังผืดเพื่อรั้งผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นยุบลงไปและกลายเป็น หลุมสิว นั่นเอง
ส่วนคนที่สงสัยว่าไม่เคยไปบีบ เค้น แกะสิวเลย แต่ทำไมถึงมี หลุมสิว ได้ นั่นก็เพราะสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง ได้สร้างการอักเสบลึกลงไปถึงผิวชั้นใน ทำให้คอลลาเจนบนผิวลดลงและถูกทำลาย ผิวจึงต้องสร้างพังผืดขึ้นมาเพื่อรักษาตัวเอง ซึ่งไอ้เจ้าพังผืดใต้ผิวหนังนี่แหละคือ “หลุมสิว” ส่วนคนที่ชอบบีบ เค้น แกะสิว ก็จะยิ่งมีรอยหลุมสิวที่ลึกมากขึ้น ใครที่ไม่อยากมีหลุมสิวแนะนำให้ รักษาหลุมสิว อย่างถูกวิธี หรือไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หลุมสิว มีกี่ประเภท ?
หลุมสิว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

ประเภทหลุมสิว
1. Rolling scar ( ระดับทั่วไป )
หลุมสิวแบบคลื่น หลุมสิวประเภทนี้จะมีลักษณะเหมือนคลื่น คือ มีความโค้ง เป็นแอ่งเว้าลงไปและตื้น เป็นหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายกว่าประเภทอื่น

ประเภทหลุมสิว
2. Box scar ( ระดับรุนแรงปานกลาง )
หลุมสิว แบบกล่อง หลุมสิวประเภทนี้จะมีลักษณะเหลี่ยม กลมรี หรือเป็นบ่อ และมองเห็นขอบของหลุมสิวได้ชัดเจน

ประเภทหลุมสิว Ice pick scar
3. Ice pick scar ( ระดับรุนแรงที่สุด )
หลุมสิว แบบกล่อง หลุมสิวประเภทนี้จะมีลักษณะเหลี่ยม กลมรี หรือเป็นบ่อ และมองเห็นขอบของหลุมสิวได้ชัดเจน
6 วิธี รักษาหลุมสิว
วิธี รักษาหลุมสิว จะขึ้นอยู่กับประเภทหรือความรุนแรงของหลุมสิวที่เป็นด้วย แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวหน้าว่าควรทำการรักษาด้วยวิธีไหนจะดีที่สุด
1. การทายา
การ รักษาหลุมสิว ด้วยการทายาเหมาะกับหลุมสิวประเภท Rolling scar เพราะเป็นหลุมสิวตื้นๆ อยู่ในระดับที่ยังไม่ลึกมาก จึงสามารถทายาเพื่อช่วยเติมเต็มเนื้อผิวได้ ระหว่างที่ทายารักษาหลุมสิวควรทาครีมกันแดดเสมอ และเลี่ยงการโดนแสงแดดเพราะผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ครีมที่มีส่วนผสม Retinoids ( วิตามินเอ ) มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวให้หลุมสิวดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น เช่น Retin-A, Retacnyl, Acnetin-A
- ครีมที่มีส่วนผสม AHA และ BHA มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น
2. การทำเลเซอร์
การรักษาหลุมสิว ด้วยการทำเลเซอร์เหมาะกับหลุมสิวทั้ง 3 ประเภท แต่การทำเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียงคือต้องใช้เวลาในการพักฟื้นผิวนาน และควรเลี่ยงการโดนแสงแดดเพราะผิวจะคล้ำและเป็นรอยง่าย
- Cool touch laser คือ การยิงเลเซอร์เข้าไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนมาเติมเต็มหลุมสิว เป็นการทำเลเซอร์ที่ไม่ค่อยเจ็บมาก ควรทำติดต่อกันประมาณ 5-7 ครั้งจึงจะเห็นผล
- Laser Fraxel คือ การยิงเลเซอร์ที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่และผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียนขึ้น เป็นการทำเลเซอร์ที่อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ควรทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้งจึงจะเห็นผล
- Laser fractional CO2 คือ การยิงเลเซอร์ชนิดรุนแรงเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยตัวเลเซอร์สามารถตัดพังผืดแบบแนวดิ่งได้ จึงเหมาะสำหรับหลุมสิวที่กว้างและลึกมากๆ แต่มีผลข้างเคียงคือต้องใช้เวลาพักฟื้นหน้านานกว่าเลเซอร์แบบอื่น ควรทำติดต่อกันประมาณ 4 ครั้งจึงจะเห็นผล
3. การลอกผิว
การรักษาหลุมสิว ด้วยการลอกผิวเหมาะกับหลุมสิวทุกประเภท แต่จะเห็นผลดีที่สุดในหลุมสิวประเภท Rolling scar เพราะเป็นหลุมสิวที่ตื้นจึงรักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิวประเภทอื่น
- การลอกผิวด้วยการกรอผิว ( Microdermabrasion หรือ MD ) คือ การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณีที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้หลุมสิวดูตื้น ผิวดูเต็มขึ้น การกรอผิวจะไม่ทำให้ผิวหน้าเกิดแผลใดๆ ควรทำติดต่อกันประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล

derma scar รักษาหลุมสิว
4. การทำ Skin Needle
การรักษาหลุมสิว ด้วยการทำ Skin Needle หรือ Derma Scar คือ การใช้เข็มขนาดเล็กมากสแตมลงบนผิว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ คอลลาเจน และอิลาสตินของผิวใหม่ ทำให้ผิวได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองเร็วขึ้น หลุมสิวจึงดูตื้นขึ้น 10-30% หลังการรักษาครั้งแรก การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้จะไม่ทำให้หน้าบางหรือดูดำคล้ำขึ้น ใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท ควรทำติดต่อกันประมาณ 2-5 ครั้งจึงจะเห็นผล
5. การเลาะพังผืด ( Subcision )
การรักษาหลุมสิว ด้วยการเลาะพังผืด ( Subcision ) คือ การใช้เข็มลักษณะพิเศษที่สามารถสอดลงไปใต้ผิวหนังได้ เพื่อเลาะหรือตัดพังผืดใต้ผิวออก หลังทำอาจมีแผลช้ำจากรอยเข็มประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่อผิวหายช้ำแล้วหลุมสิวจะดูตื้นและผิวดูเต็มขึ้น ผลข้างเคียงคือผิวหนังอาจติดเชื้อ หรือมีรอยแผลใหม่จากการรักษาได้ ควรทำติดต่อกันประมาณ 3-5 ครั้ง
6. การฉีดฟิลเลอร์ ( Filler )
รักษาหลุมสิว ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ( Filler ) คือ การนำสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) มาฉีดเพื่อเติมเต็มหลุมสิวให้ผิวดูเต็มขึ้น โดยจะเห็นผลว่าหลุมสิวดูตื้นขึ้น 30-70% ทันทีหลังฉีด ข้อเสียคือมันเป็นสารที่เสื่อมสลายไปได้เอง การฉีด 1 ครั้ง จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี เหมาะกับการรักษาหลุมสิวประเภท Rolling scar และ Box scar
หลุมสิว หรือปัญหาผิวหน้าพระจันทร์ ผิวขรุขระ สามารถใช้หลายวิธีร่วมกันในการรักษาได้ และอาจต้องใช้จำนวนการรักษาหลายครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของหลุมสิว ใครที่อยาก รักษาหลุมสิว ให้หายจริง แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์หรือคลินิกที่เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี นอกจากนี้ก็ควรป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นซ้ำซากหรือลุกลามด้วย เพราะ สิว คือต้นเหตุของการเกิด หลุมสิว นั่นเอง ติดต่อได้ที่ Charmer Clinic เบอร์โทร Call 085-919-2768 ช่องทางติดต่อ LINE หรือค้นหาสาขาสะดวกใกล้คุณที่นี่ คลิกเลย!