สำหรับสาวๆ ที่กำลังมองหาตัวช่วยเพื่อเติมเต็มใบหน้าของเราให้ดูอิ่ม เข้ารูป หรือสาวๆ คนไหนที่กำลังมีปัญหาแก้มตอบ ขมับตอบ คางสั้น ใต้ตาลึก ริมฝีปากบางก็ตาม
วันนี้เรามีบทความที่เกี่ยวกับการ ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) หรือการ เติมฟิลเลอร์ ( FILLER ) แบบไหนดีกว่ากันและแบบไหนที่เหมาะสมกับปัญหาของสาวๆ แต่ละท่านมาฝากค่ะ รับรองว่าพอได้อ่านจนจบบทความนี้แล้วจะเข้าใจมากขึ้นว่า ฉีดไขมัน กับ เติมฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน และควรเลือกตัดสินใจได้ว่าควรจะเลือกทำอะไร
1. ฉีดไขมัน กับ เติมฟิลเลอร์ คืออะไร?
1.1 ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER )
การ ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) หรืออีกชื่อ FAT GRAFING คือการเติมผิวด้วยไขมันของร่างกายเราเองเป็นการปลูกถ่ายเซลล์ไขมันเทคนิคใหม่โดยดูดไขมันส่วนเกินจากบริเวณไขมันดีของร่างกายนำมาคัดแยกเฉพาะเซลล์ไขมันที่ดีที่สุดแล้วฉีดกลับเข้าไปเติมเต็มผิวที่เกิดปัญหาโดยจะฉีดไขมันสู่ผิวในปริมาณที่พอดีฉีดเติมเต็มไปยังชั้นไขมันให้กระจายเติมเต็มพื้นที่ที่ต้องการ
โดยการ ฉีดไขมัน เราจะเลือกไขมันดีจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาทิเช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น และจะฉีดเข้าไปในส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เราต้องการจะเติมเต็ม โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนได้แก่ การฉีดไขมันบนใบหน้า ( เติมเต็มรอยเหี่ยวย่นบริเวณ หน้าผาก ร่องแก้ม หนังตาล่าง ขมับ ฯลฯ ) และ การฉีดไขมันเพิ่มสัดส่วน ( เติมเต็มสัดส่วนเช่นบริเวณ หน้าอก สะโพก )
1.2 เติมฟิลเลอร์ ( FILLER )
การ เติมฟิลเลอร์ ( FILLER ) คือ การฉีดสารเติมเต็มผิวที่มีชื่อว่า Hyaluronic Acid (HA) เพื่อช่วยเสริมและเติมเต็มในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง โดยเจ้าสาร HA จะช่วยกักเก็บน้ำชั้นใต้ผิว เพื่อเติมเต็มช่องว่างให้กับเซลล์ผิวหนัง ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ทำให้จุดที่เราฉีดเข้าไปนั้น เต่งตึง เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย ฟิลเลอร์ จะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ส่งผลให้หน้าดูอิ่มเอิบ และอ่อนกว่าวัย สุดท้ายแล้ว ฟิลเลอร์ จะสลายไปเองตามธรรมชาติ

วิธีการฉีดไขมันและฉีดfiller
2. วิธีการ ฉีดไขมัน และการ เติมฟิลเลอร์
- ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) แพทย์จะพิจารณาบริเวณที่มีไขมันดีที่สุดของร่างกาย จากนั้นจะฉีดยาชาบริเวณที่จะดูดไขมันออก แล้วทำการเปิดแผลขนาดเล็ก ไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร เพื่อใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์สอดเข้าไปเพื่อดูดไขมันออก แล้วจะนำไขมันที่ดูดได้นั้นเข้ากระบวนการคัดกรองให้เหลือแต่ไขมันดีที่มีคุณภาพเท่านั้น เสร็จแล้วจะนำไขมันที่ได้ ฉีดเข้าไปเติมเต็มในชั้นไขมันบริเวณที่ต้องการแก้ไขในปริมาณที่พอดี เพื่อปลูกถ่ายเซลล์ไขมันให้มีชีวิตอยู่รอดสูงสุด โดยการ ฉีดไขมัน สามารถแบ่งเก็บไขมันเอาไว้เติมครั้งต่อไปได้อีกด้วย
- เติมฟิลเลอร์ ( FILLER ) แพทย์จะใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาทีในการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ ในขณะที่ฉีดฟิลเลอร์ ข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแก้ไขปัญหาจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หลังจากฉีดเสร็จแล้วไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้นใดๆ จากนั้นก็จะสามารถกลับบ้านได้ตามปกติ อาจจะมีแค่รอยแดงที่เข็มเล็กน้อย
3. ระยะเวลาการพักฟื้นระหว่าง ฉีดไขมัน และการ เติมฟิลเลอร์
- ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) เนื่องจากการฉีดไขมัน จะต้องมีการดูดไขมันออกมาด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วระยะเวลาการพักฟื้นจะอยู่ที่ประมาณ 2 อาทิตย์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ดูดไขมัน บริเวณที่ ฉีดไขมัน และสุขภาพของแต่ละท่านด้วย
โดยวิธีการดูแลตัวเองหลัง ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) นั้น ใน 24 ชั่วโมงแรกให้งดการนวดหน้า ทาครีม หรือทาโลชั่น และ 48 – 72 ชั่วโมงแรกให้ประคบเย็นด้วยเจลประคบเพื่อลดบวม ให้นอนศรีษะสูงใน 3 วันแรก และพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยนอนวันละ 8 ชั่วโมง เลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักของดอง หรือของร้อน งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ทานยาตามแพทย์สั่ง และกลับมาตัดไหมตามเวลาที่แพทย์นัด
- เติมฟิลเลอร์ ( FILLER ) โดยปกติแล้วจะใช้เวลาพักฟื้นเพื่อให้ฟิลเลอร์ เซ็ตตัวประมาณ 2 อาทิตย์ โดยในช่วง 2 วันแรกไม่นวดหน้าบริเวณที่ฉีดหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่ควรจับ ลูบ คลำ บริเวณที่เติมฟิลเลอร์ไป ควรดื่มน้ำมากๆ งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออก เช่นแอสไพริน วิตามินอี หรือแป๊ะก๊วย หลีกเลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ Retinoid, AHA, BHA 2 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือการใช้ความร้อนบริเวณที่เติมฟิลเลอร์ เช่น เลเซอร์ อบซาวน่า ช่วง 2 สัปดาห์แรก งดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
4. ผลข้างเคียงของการ ฉีดไขมัน และ เติมฟิลเลอร์
- ฉีดไขมัน มีผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การอักเสษติดเชื้อ และผลข้างเคียงอาจเกิดจากการบวม และแผลจากการดูดไขมัน ไม่ต้องเป็นกังวลเลยค่ะ มันจะหายไปเองตามธรรมชาติ อาจจะพบการบวมช้ำประมาณ 5 – 7 วัน ในบริเวณที่ฉีดไขมัน และรอยช้ำบริเวณจุดที่ดูดไขมันประมาณ 7 – 14 วัน และกว่าจะเข้าที่อาจจะใช้เวลาเป็นเดือน
- เติมฟิลเลอร์ ในช่วงแรกอาจมีอาการบวมและฟกช้ำบริเวณเข็มได้บ้างเล็กน้อยประมาณ 1 – 2 วัน หรืออาจจะไม่มีเลย หากมีอาการเขียวให้ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการและบรรเทา โดยอาการอาจดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือ 2 – 3 วัน แล้วอาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นและหายไปเองตามธรรมชาติ
5. ข้อดีข้อเสียของการ ฉีดไขมัน และ เติมฟิลเลอร์
- ฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER )
ข้อดีของการฉีดไขมัน | ข้อเสียของการฉีดไขมัน |
ปลอดภัย ไม่ใช่สารเคมี | คนที่ผอมหรือมีไขมันไม่มาก จะไม่สามารถทำได้ |
ไม่เจ็บตัวมาก ไม่มีแผลเป็น | มีโอกาสที่ไขมันบางส่วนจะสลายตัวได้เอง |
ช่วยเติมเต็มชั้นใต้ผิวหนัง | ต้องมาฉีดซ้ำ 2 – 3 ครั้ง จนกว่าจะเติมเต็มไขมันบนใบหน้าได้อย่างสมบูรณ์ |
ปรับรูปหน้าให้เต่งตึง อวบอิ่ม ดูอ่อนกว่าวัย | ถ้าฉีดไขมันไปสัก เนื้อบริเวณนั้นจะเริ่มหย่อนลง |
ลดการเกิดฝ้า แผลเป็นจากหลุมสิว ลดการอักเสบ | หากแพทย์ไม่ชำนาญ ฉีดเข้าเส้นเลือด
เป็นอันตรายได้ |
- เติมฟิลเลอร์ ( FILLER )
ข้อดีของการเติมฟิลเลอร์ | ข้อเสียของการเติมฟิลเลอร์ |
ช่วยชะลอวัย | ราคาแพง |
ปลอดภัย ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง | อยู่ไม่ถาวร |
ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น | ไม่เหมาะกับบางตำแหน่ง เช่น หน้าอก สะโพก |
เติมได้เรื่อย ๆ ปรับแต่งได้ | ถ้าแพทย์ไม่เชี่ยวชาญ อาจเกิดผลข้างเคียงได้ |
ได้ผลแม่นยำ เป็นธรรมชาติ | ถ้าฟิลเลอร์เป็นแบบถาวร ไม่สามารถสลายได้ จะเกิดความเสี่ยง อาจเกิดพังผืด |
เหมาะกับตำแหน่งที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา คาง ร่องแก้ม | ถ้าฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ติดเชื้อและเกิดความเสี่ยงบริเวณที่ฉีดได้ |

ฉีดไขมันและเติมฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน.
6. ฉีดไขมัน และ เติมฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน?
- ฉีดไขมัน เมื่อฉีดเข้าไปแล้วไขมันจะค่อยๆ สลายไปเอง 30 – 40 % ส่วนอีก 60 – 70% จะอยู่ตลอดไปค่ะ จะลดหรือว่าหายไป ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของร่างกาย แต่ทั้งนี้สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เพื่อย้ำและให้ผลลัพธ์อยู่นานขึ้นค่ะ ที่สำคัญมาก ๆ คือต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การนอน การดื่ม การรับประทานอาหาร เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้นานที่สุด
- เติมฟิลเลอร์ ที่ได้มาตรฐานและเป็นของแท้จะสามารถอยู่ได้นาน 8 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับจุดที่เราเติม รวมถึงการเลือก ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ที่เหมาะสม และขึ้นอยู่กับการดูแลผิว อายุ และการใช้ชีวิต ดังนั้นหลังจากที่เราฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่กับเราคงทนและนานที่สุด
7. สรุป ฉีดไขมัน หรือ เติมฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน?
ถือว่าเป็นคำถามที่ยากมากๆ เนื่องจากว่าแต่ละคนมีปัญหาใบหน้าและร่างกายที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีคำแนะนำของแพทย์ที่หลากหลายความคิดเห็น แต่ว่าตอนนี้สาว ๆ ก็ได้รู้แล้วว่า ข้อดี ข้อเสีย ของฉีดไขมัน ( FAT TRANSFER ) และการ เติมฟิลเลอร์ ( FILLER ) คืออะไร?
สาวๆ สามารถนำข้อมูล ฉีดไขมัน กับ เติมฟิลเลอร์ เหล่า เพื่อนี้ไปประกอบการพิจารณาดูว่าตัวเราเหมาะสมกับการทำหัตถการไหนมากที่สุด หากสาวๆ อยากได้ผลลัพธ์ที่เป๊ะๆ ตามที่ตัวเองคิดหรือวางแผนเอาไว้ ต้องเป็นรูปทรงแบบนี้ และไม่อยากโดนดูดไขมัน ก็แนะนำว่าให้ลองเติมฟิลเลอร์ดูค่ะ
แต่ถ้าสาวๆ คนไหนที่มีปัญหาไขมันสัดส่วนเกิน อยากดูดไขมันกระชับสัดส่วนและเติมเต็มใบหน้าของไปด้วย การฉีดไขมัน ก็จัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกันนะคะ
ส่วนใครอยากจะทำความเข้าใจมากกว่านี้ หรืออยากที่จะปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจว่าตัวเราควรทำหัตถการไหน สามารถแวะเข้ามาหาคุณหมอที่ Charmer Clinic ได้เลยนะคะ เพียงโทรนัดหมายที่เบอร์ Call 085-919-2768 หรือช่องทางติดต่อ LINE ได้ตลอดเลยค่ะ เรายินดีให้บริการสาวๆ ทุกท่าน และขอให้มั่นใจได้เลยนะคะว่า ชาเมอร์ คลินิก เราเป็นคลินิกที่มีมาตรฐาน ตัวยาของเราผ่าน อ.ย. ทุกตัว และเราเปิดให้บริการมากว่า 7 ปี ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากลูกค้าหลายๆ ท่าน รับรองได้เลยค่ะว่าแวะมาทำที่นี่ ต้องถูกใจมากๆ และปลอดภัยมากๆ แน่นอนค่ะ แล้วพบกันนะคะ ^^
- อ่านบทความ 10 คำถามที่พบบ่อยหลังฉีดเมโสแฟต คลิก
- อ่านบทความ เช็คก่อนฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี คลิก
- อ่านบทความฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดีสุด คลิก
- อ่านบทความ โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ แตกต่างกันอย่างไร คลิก
ฝากกดติตตามความงามสาระดีๆ
กดติดตามเพจ FB https://www.facebook.com/charmerclinic2you/
กดติดตาม Tiktok https://www.tiktok.com/@charmerclinic
กดติตตามช่อง Youtube https://bit.ly/2PZiVeR
กดติดตาม IG https://bit.ly/2PYXTwY
กดติดตาม Twitter https://twitter.com/CharmerClinic
กดอ่านบทความดีๆ อัพเดท https://charmerclinic2you.com/